อาชีพ:
อาชีพ คือการทำมาหากินของมนุษย์
เป็นการแบ่งหน้าที่การทำงานของคนในสังคม และทำให้ดำรงอาชีพในสังคมได้ บุคคลที่ประกอบอาชีพจะได้ค่าตอบแทน
หรือรายได้ที่จะนำไปใช้จ่ายในการดำรงชีวิต และสร้างมาตรฐานที่ดีให้แก่ครอบครัว
ชุมชน และประเทศชาติ
ความจำเป็นของการประกอบอาชีพมีดังนี้
1. เพื่อตนเอง การประกอบอาชีพทำให้มีรายได้มาจับจ่ายใช้สอยในชีวิต
2. เพื่อครอบครัว
ทำให้สมาชิกของครอบครัวได้รับการเลี้ยงดูทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
3. เพื่อชุมชน ถ้าสมาชิกในชุมชนมีอาชีพและมีรายได้ดีจะส่งผลให้สมาชิกมีความเป็นอยู่ดีขึ้น
อยู่ดีกินดี ส่งผลให้ชุมชนเข้มแข็งและพัฒนาตนเองได้
4. เพื่อประเทศชาติ เพื่อประชากรของประเทศมีการประกอบอาชีพที่ดี
มีรายได้ดี ทำให้มีรายได้ที่เสียภาษีให้กับรัฐบาลมีรายได้ไปใช้บริหารประเทศต่อไป
มนุษย์ไม่สามารถผลิตสิ่งต่างๆมาสนองความต้องการของตนเองได้ทุกอย่างจำต้องมีการแบ่งกันทำและเกิดความชำนาญ
จึงทำให้เกิดการแบ่งงานและแบ่งอาชีพต่างๆขึ้น สาเหตุที่ต้องมีการแบ่งอาชีพมีดังนี้
1. ความรู้ความสามารถของแต่ละคนแตกต่างกัน
2. ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และภูมิประเทศที่แตกต่างกัน
3. ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ที่แตกต่างกัน
การแบ่งงานและอาชีพให้เกิดประโยชน์ ดังนี้
1. สามารถตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันได้
2. ได้ทำงานที่ตนเองถนัด
3. ทำให้กิดการขยายตัวของธุรกิจในด้านต่างๆ
การประกอบอาชีพของคนไทย:
การทำมาหากินของคนไทยสมัยก่อน คือการทำไร่ ทำนา ทอผ้า ทำเครื่องจักสานไว้ใช้ที่เหลือก็จะจำหน่ายในชุมชน
คนไทยบางกลุ่มจะเป็นข้าราชการเมื่อบริษัทต่างชาติมาลงทุนในประเทศไทย
ทำให้มีการจ้างงาน และมีอาชีพให้คนไทยเลือกทำมากขึ้น
ลักษณะอาชีพของคนไทย:
1. งานเกษตรกรรม เช่น ปลูกพืช
เลี้ยงสัตว์ การประมง
2. งานอุตสาหกรรม เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับความถนัดด้านช่างสาขาต่างๆ
และเครื่องจักรเพื่อผลิตสินค้าและบริการต่างๆ
3. งานธุรกิจ เป็นงานด้านการค้าขาย การทำบัญชี การจัดการธุรกิจ การติดต่อสื่อสารเทคโนโลยีสารสนเทศ
4. งานคหกรรม เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาหาร
เย็บปักถักร้อย ตกแต่งบ้าน
5. งานศิลปกรรม เป็นงานที่มีความละเอียดอ่อน
ความคิดสร้างสรรค์ด้านศิลปกรรมของไทย เช่น งานหัตถกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม
ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดความสำเร็จในงานอาชีพ:
สาระสำคัญ
1. ความต้องการมุ่งความสำเร็จ (Need for Achivement)
ในการทำงานเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วและมองเห็นโอกาสแห่งความเป็นไปได้
ผู้ประกอบการจะต้องมุ่งมั่นใช้กำลังกาย กำลังความคิด สติปัญญาและความสามารถทั้งหมด
พร้อมทั้งทุ่มเทเวลาให้กับงาน โดยไม่คำนึงถึงความยากลำบาก
เพื่อให้งานบรรลุความสำเร็จที่มุ่งหวังไว้
ผู้ประกอบการจะต้องเรียนรู้ถึงความผิดพลาดที่ผ่านมาเพื่อแก้ไขให้เกิดความสำเร็จ
พอใจ ภูมิใจที่งานออกมาดี แต่สิ่งที่สำคัญคือ จุดมุ่งหมายทางธุรกิจ
มิได้อยู่ที่กำไร แต่จะต้องทำเพื่อขยายความเจริญเติบโตของกิจการ
กำไรเป็นเครื่องสะท้อนว่าทำได้ และไม่เพียงสนใจต่อการบรรลุเป้าหมายเท่านั้น
แต่จะต้องให้ความสำคัญต่อวิธีการหรือกระบวนที่ทำให้บรรลุเป้าหมายด้วย
2. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Creativity
Thinking) การจะเป็นผู้สำเร็จในงานอาชีพได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ไม่พอใจในการทำสิ่งซ้ำๆเหมือนเดิมตลอดเวลา
แต่เป็นผู้ที่ชอบนำประสบการณ์ที่ผ่านมาประยุกต์ สร้างสรรค์ หาวิธีใหม่ที่ดีกว่าเดิม
สามารถหาแนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการ ปรับปรุงกระบวนการดำเนินการอยู่ตลอดเวลา กล้าที่จะผลิตสินค้าที่แตกต่างจากเดิม
กล้าใช้วิธีขายที่ไม่เหมือนใคร กล้าประดิษฐ์
กล้าคิดค้นสิ่งที่แปลกใหม่เข้าสู่ตลาด
สามารถคิดค้นประดิษฐ์เครื่องจักรเครื่องมืออุปกรณ์ใหม่ๆ
มาใช้ในการผลิต สามารถนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้
รวมทั้งแสวงหาวัตถุดิบใหม่ๆมาทดแทนของเดิม รู้จักปรับปรุงกระบวนการดำเนินงาน นำระบบการจัดการสมัยใหม่ที่มีประสิทธิภาพมาใช้เพื่อลดต้นทุน
ความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้
อาจเกิดขึ้นด้วยตัวเอง หรือเอาแนวคิดมาจากนักประดิษฐ์
นักวิจัยหรือผู้เชี่ยวชาญก็ได้
3. รู้จักผูกพันต่อเป้าหมาย (Addicted to Goals) เมื่อตั้งเป้าหมาย ผู้ประกอบการจะต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
เป้าหมายทุกเป้าหมายล้วนจะต้องเอาชนะทั้งสิ้น มีความคิดผูกพันที่จะเอาชนะ จนสามารถวางแผนกลยุทธ์ไว้ล่วงหน้า
มีการวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรค ขัดขวางในการไปสู่เป้าหมาย
เตรียมป้องกันที่จะเอาชนะอุปสรรค ที่คาดว่าจะทำให้เกิดความล้มเหลว
และหาหนทางแก้ไขเมื่อประสบความเหลว และในขณะเดียวกันการมองโลกในแง่ดีมีความหวัง
มุ่งมั่นต่อไปเป้าหมายของความสำเร็จจะมองเห็นในอนาคต
4. มีความสามารถในการบริหารงานและมีความเป็นผู้นำที่ดี (Management
and Leadership Capability) มีลักษณะการเป็นผู้นำ
รู้จักหลักการบริหารจัดการที่ดี ภาวะการเป็นผู้นำจะแตกต่างไปตามระยะการเจริญเติบโตของธุรกิจ
ในระยะเริ่มทำธุรกิจ จะต้องรับบทบาทการเป็นผู้นำจะแตกต่างไปตามระยะการเติบโตของธุรกิจ
ในระยะเริ่มทำธุรกิจ จะต้องรับบทบาทเป็นผู้นำที่ลงมือทำทุกอย่างด้วยตนเอง
ต้องทำงานหนักเพื่อบรรลุความสำเร็จ เอาใจใส่ผู้ร่วมงาน
วางแผนทางการทำงาน ให้คำแนะนำและให้ผู้ร่วมงานรับค่าสิ่งด้วยความเต็มใจในการปฏิบัติงาน
เป็นผู้กำกับดูแลอย่างใกล้ชิดและเป็นกันเองจะทำให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยดี
ต่อมาเมื่อกิจการเติบโตขึ้น การบริหารงานก็จะเปลี่ยนแปลงไป
ลูกน้องก็จะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงและเชื่อมั่นได้มากขึ้น
ไว้ใจได้ สามารถที่จะแบ่งความรับผิดชอบให้ลูกน้องได้มากขึ้น
จนสามารถปล่อยให้ดำเนินการเองได้
ส่วนตนจะได้มีเวลาใช้ความคิดพัฒนาผลิตภัณฑ์
ขยายกิจการหรือลงทุนใหม่ ดำเนินกิจการให้ลักษณะมืออาชีพมากกว่าเป็นธุรกิจเครือญาติ
กล้าลงทุนจ้างผู้บริหารมืออาชีพ รู้จักปรับเปลี่ยนการบริหาร
เพื่อทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
5. มีความเชื่อมั่นในตนเอง (Be Self Confident) ผู้ประกอบการที่จะประสบความสำเร็จมักจะเป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง
มีความเป็นอิสระและรู้จักพึ่งตนเอง มีความมั่นใจ
มีความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว มีลักษณะเป็นผู้นำ
มีความเชื่อมั่นที่จะเอาชนะสิ่งแวดล้อมที่น่ากลัว มีความทะเยอทะยาน และไม่ประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไปหรือเชื่อมั่นตนเองมากเกินไป
6. มีวิสัยทัศน์กว้างไกล (Visionary) เป็นผู้ที่สามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างแม่นยำ
และรู้จักเตรียมพร้อมรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
7. มีความรับผิดชอบ (Responsibility) มีความรับผิดชอบต่องานที่ทำเป็นอย่างดี เป็นผู้นำในการทำสิ่งต่างๆ มักจะมีความริเริ่มแล้วลงมือทำด้วยตนเอง
หรือมอบหมายให้ผู้อื่นทำและจะดูแลจนงานสำเร็จตามเป้าหมาย
โดยจะรับผิดชอบผลการตัดสินใจ
ไม่ว่าผลจะออกมาดีหรือไม่ มีความเชื่อว่าความสำเร็จเกิดจากความเอาใจใส่ ความพยายาม ความรับผิดชอบ มิใช่เกิดจากโชคช่วย
8. มีความกระตือรือร้นและไม่หยุดนิ่ง (Enthusiastic)
มีการทำงานที่เต็มไปด้วยพลัง มีชีวิตชีวา
มีความกระตือรือร้น ทำงานทุกอย่างโดยไม่หลีกเลี่ยง
ทำงานหนักมากกว่าคนทั่วไป
9. ใฝ่หาความรู้เพิ่มเติม (Take New Knowledge) ถึงแม้ว่าจะมีความเชี่ยวชาญในการทำงาน แต่ความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ
ควรที่จะหาความรู้เพิ่มเติม
โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับข้อมูลทางการตลาด เศรษฐศาสตร์
การเมือง กฏหมายทั้งในและต่างประเทศ
ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้
การหาความรู้เพิ่มเติมสามารถหาได้จากการสัมนา ฝึกอบรม อ่านหนังสือ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
10. กล้าตัดสินใจและมีความมานะพยายาม (Can Make
Decision And Be Attempt) มีความกล้าตัดสินใจมีความหนักแน่นไม่หวั่นไหว
เชื่อมั่นในตนเองกับงานที่ทำ มีจิตใจของนักสู้
ถึงแม้งานจะหนักก็ทุ่มเทสุดความสามารถ
ไม่กลัวงานหนัก เห็นงานหนักเป็นงานท้าทายในการใช้ความรู้
สติปัญญา และความสามรถในการทำงาน ความมานะและความพยายามเป้นการทุ่มเทชีวิตจิตใจในการทำงาน
แข่งขันกับตนเองและแข่งขันกับเวลา ขวนขวายหาหนทางแก้ปัญหาและอุปสรรคจนประสบความสำเร็จ
11. สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม (Adaptable)
ต้องรู้จักการปรับตัวตามสภาพแวดล้อม มากกว่าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรม
หรือขึ้นอยู่กับโชคหรือดวง
12. รู้จักประมาณตนเอง (Self Assessment) การรู้จักประมาณตนเองไม่ทำสิ่งเกินตัว ในการทำธุรกิจควรจะเริ่มจากธุรกิจเล็กๆก่อน
และเมื่อกิจการเจริญค่อยเพิ่มทุนและขยายธุรกิจออกไป จึงจะประสบความสำเร็จ
13. ประหยัด (Safe For Future) การดำเนินงานในระยะสั้นจะยังไม่ทันเห็นผล
ผู้ประกอบการจะต้องรู้จักประหยัดและอดออม ต้องรู้จักห้ามใจที่จะหาความสุข
ความสบายในช่วงที่ธุรกิจอยู่ในช่วงตั้งตัว และต้องดำเนินธุรกิจต่อไปในระยะเวลายาวนานจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย
14. มีความซื่อสัตย์ (Loyalty) ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อลูกค้าและหุ้นส่วน
ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับธนาคารด้วยการเป็นลูกหนี้ที่ดี เป็นนายที่ดีของลูกน้อง
และต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและครอบครัว
อาชีพที่มีความมั่นคงในชีวิต:
สาระสำคัญ
หากเปรียบเสาเข็มเป็นรากฐานของตึกสูง ความรู้ที่ได้รับจากการศึกษา
ก็คือ พื้นฐานที่จะนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ สร้างรายได้และจัดหาปัจจัย 4 อันเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตอยู่อย่างมั่นคง
ในการเลือกประกอบอาชีพนั้น ควรพิจารณาจากความถนัด
ความสนใจ ความก้าวหน้าในอาชีพ เป็นอาชีพที่สุจริตถูกต้องตามกฎหมาย
และควรเป็นงานที่ทำแล้วมีความสุข ได้รับค่าตอบแทนที่เพียงพอกับการดำเนินชีวิต และเลี้ยงครอบครัวได้อย่างเพียงพอ
หากทุกคนเลือกอาชีพที่มความมั่นคงต่อชีวิต สังคมก็จะมีความเป็นอยู่ที่ดี เศรษฐกิจก็จะเจริญก้าวหน้าตามไปด้วย
อาชีพที่มีส่วนร่วม
และพัฒนาประเทศ:
สาระสำคัญ
อาชีพ หมายถึง การทำมาหากิน ทำธุรกิจ ตามความชอบหรือความถนัด
ได้ค่าตอบแทนเป็นค่าจ้าง หรือ เงินเดือน ประชาชนในประเทศที่สามารถมีอาชีพเป็นหลักถือได้ว่าเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นถึงความเจริญก้าวหน้าและพัฒนาประเทศได้
อาชีพที่มีส่วนร่วมพัฒนาประเทศ สามารถแบ่งออกเป็น 8 ประเภท คือ
1. อาชีพเกษตรกรรม (Agriculture) เป็นอาชีพหลักของคนไทยมาเป็นเวลาช้านาน
ได้แก่ การทำสวน การทำนา ทำไร่ การประมง การเลี้ยงสัตว์ และการป่าไม้
2. อาชีพเหมืองแร่ (Mineral) เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจกรรม
การขุดเจาะนำเอาทรัพยากรธรรมชาติต่างๆมาใช้ เช่น ถ่านหิน ดีบุก น้ำมัน และปูนซีเมนต์ ฯลฯ
3. อาชีพอุตสาหกรรม (Manufacturing) เป็นการดำเนินกิจกรรมทางด้านการผลิตและบริการทั่วๆไปทั้งอุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดใหญ่
แบ่งได้ดังนี้
3.1 อุตสาหกรรมในครัวเรือน หรือ อุตสาหกรรมขนาดย่อม
เป็นการดำเนินกิจกรรมที่ใช้แรงงานสมาชิกในครอบครัว วัสดุที่ใช้ผลิตหาได้ในท้องถิ่น
ผลิตัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่น
4. อาชีพก่อสร้าง (Construction) เป็นการดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับการสร้างอาคาร
ที่อยู่อาศัย ถนน สะพาน เขื่อน ฯลฯ
5. อาชีพการพาณิชย์ (Commercial) เป็นการดำเนินกิจกรรมเกี่ยวช้องกับการตลาด
การจำหน่ายสินค้าปลีก และสินค้าส่ง
6. อาชีพการเงิน (Financial) การดำเนินกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ธุรกิจต่างๆคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
ให้ความช่วยเหลือและการลงทุน ได้แก่ ธนาคารต่างๆ
7. อาชีพบริการ (Services) เป็นการดำเนินกิจกรรมที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
ในการอำนวยความสะดวกสบาย เป็นการขนส่ง การสื่อสาร
การโรงแรม การท่องเที่ยว โรงพยาบาล โรงภาพยนต์ ภัตตาคาร ร้านอาหาร สถานบันเทิงต่างๆ ฯลฯ
8. อาชีพอื่นๆ เป็นอาชีพที่นอกเหนือจากอาชีพดังกล่าวข้างต้น
ได้แก่ อาชีพอิสระต่างๆ เช่น แพทย์ ครู เภสัช
วิศวกร สถาปนิก จิตรกร ประติมากร เป็นต้น
อาชีพธุรกิจที่มีประโยชน์ต่อประชาชน สังคม และประเทศชาติ:
สาระสำคัญ
อาชีพธุรกิจที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน สังคม
และประเทศชาติ ทำให้เกิดกระบวนการผลิตสินค้าการบริการเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ความต้องการเกิดขึ้นต่อๆไป
โดยไม่สิ้นสุดทำให้เกิดการผลิตสินค้าเพื่อสนองความต้องการจึงเกิดการกระจายสินค้าไปสู่ผู้บริโภค
เรียกว่าระบบคนกลาง ระบบคนกลางได้แก่ พ่อค้าส่ง พ่อค้าปลีก ตัวแทนจำหน่าย นายหน้า เมื่อมีสินค้าเกี่ยวข้องจึงต้องมีระบบขนส่งและเกิดการจ้างงาน
ช่วยให้ประชาชนมีงานทำ มีมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้น
สร้างรายได้ให้กับรัฐ โดยประชาชนช่วยกันเสียภาษีเพื่อพัฒนาประเทศ
การที่ประชาชนมีอาชีพ และผลิตสินค้าที่มีคุณภาพจำนวนมากจึงต้องมีเครื่องมือที่ทันสมัยสามารถส่งไปจำหน่ายต่างประเทศได้
ช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น
อุตสาหกรรมการผลิตแม่พิมพ์:
สาระสำคัญ
เทคโนโลยีการผลิตและการพัฒนาด้านบุคลากรของอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆของประเทศไทย
นับว่าอุตสาหกรรมแม่พิมพ์เป็นอุตสาหกรรมแม่พิมพ์เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งการผลิต ผลิตภัณฑ์โลหะ ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยางและอื่นๆ ซึ่งแม่พิมพ์ที่นำมาใช้ในการจึงมีหลายประเภท
เช่น แม่พิมพ์โลหะ แม่พิมพ์พลาสติก แม่พิมพ์ยาง แม่พิมพ์แก้ว และอื่นๆ
แต่ที่นิยมใช้กันมาก คือ แม่พิมพ์โลหะ
และแม่พิมพ์พลาสติก โดยนำไปใช้เกือบทุกอุตสาหกรรม เพราะแม่พิมพ์เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการผลิตที่มีรูปร่างเหมือนๆกัน
ครั้งละจำนวนมากๆ ส่งผลให้สินค้ามีคุณภาพและมาตรฐานเดียวกัน ทำให้ไทยมีโรงงานที่ทำแม่พิมพ์ทั้งหมด
2,000 โรงงาน
โดยผลิตแม่พิมพ์โลหะและพลาสติก
ถึงร้อยละ 90 และอีก้อยละ 10 ผลิตแม่พิมพ์แก้ว ยาง และเซรามิก โดย
1,500 โรงงาน เป็นโรงงานที่ผลิตแม่พิมพ์ใช้เอง และอีก 500
โรงงาน รับจ้างผลิตแม่พิมพ์ แต่มีโรงงานเพียง 3 % ที่สามารถผลิตแม่พิมพ์ที่ได้คุณภาพ และมีประสิทธิภาพ ความเที่ยงตรงสูง
แสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมแม่พิมพ์ในประเทศไทย ยังไม่สามารถผลิตงานที่มีคุณภาพ
และความถูกต้องแม่นยำสูงได้
จากสถิติมูลค่าการนำเข้าและส่งออกแม่พิมพ์ (ระหว่างปี
พ.ศ. 2542 - 2547) พบว่าประเทศไทยขาดดุลการค้าในอุตสาหกรรมแม่พิมพ์มาโดยตลอด
โดยในปี ปี 2544 มีการขาดดุลการค้ามากกว่า 20,000 ล้านบาท และมูลค่าการนำเข้าแม่พิมพ์ของไทยมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด
ยกเว้น ปี 2545 ซึ่งมีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 7.69
เมื่อเทียบกับปี 2544 ส่วนมูลค่าการนำเข้าในปี
2547 คาดว่ามีแนวโน้มการนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยในช่วงเดือนมกราคม
– มิถุนายน มีอัตราการขยายตัวของการนำเข้าเพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันในปี 2546
ถึงร้อยละ 33.57
เหตุที่ประเทศไทยมีมูลค่าการนำเข้าแม่พิมพ์มาก
เนื่องจากโรงงานที่เป็นกิจการร่วมทุนกับต่างประเทศ และกลุ่มตลาดส่วนใหญ่เป็นต่างประเทศ
ให้มีการนำเข้าแม่พิมพ์ที่มีคุณภาพและความเที่ยงตรงสูง จากต่างประเทศเข้ามาใช้ในการผลิตสินค้าเป็นจำนวนมาก
โดยนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้
ส่วนการส่งออกแม่พิมพ์ของไทยนั้น เป็นกลุ่มผู้ผลิตที่มีกิจการร่วมลงทุนกับต่างประเทศ
และได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนจาก BOI (สำนักคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน)
โดยผลิตแม่พิมพ์ที่มีความเที่ยงตรงสูง และส่งออกไปบริษัทแม่
ส่วนโรงงานขนาดกลางที่ผลิตแม่พิมพ์ที่มีคุณภาพก็ส่งออกโดยผ่านตัวแทนจำหน่าย
มูลค่าการส่งออกตั้งแต่ปี 2542 – 2547 มีมูลค่าการส่งออกไม่เกิน
3,000 ล้านบาท ยกเว้นปี 2546 ส่วนในปี 2547
คาดว่าแนวโน้มการส่งออกแม่พิมพ์ของไทยจะมีมูลค่าสูงขึ้น โดยส่วนใหญ่ส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น
มาเลเซียและฮ่องกง
ที่มา: http://sueheera.weebly.com