วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559

อาชีพ



อาชีพ:

                        อาชีพ  คือการทำมาหากินของมนุษย์  เป็นการแบ่งหน้าที่การทำงานของคนในสังคม  และทำให้ดำรงอาชีพในสังคมได้  บุคคลที่ประกอบอาชีพจะได้ค่าตอบแทน หรือรายได้ที่จะนำไปใช้จ่ายในการดำรงชีวิต  และสร้างมาตรฐานที่ดีให้แก่ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ

                        ความจำเป็นของการประกอบอาชีพมีดังนี้

                        1.  เพื่อตนเอง การประกอบอาชีพทำให้มีรายได้มาจับจ่ายใช้สอยในชีวิต

                        2.  เพื่อครอบครัว ทำให้สมาชิกของครอบครัวได้รับการเลี้ยงดูทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

                        3.  เพื่อชุมชน ถ้าสมาชิกในชุมชนมีอาชีพและมีรายได้ดีจะส่งผลให้สมาชิกมีความเป็นอยู่ดีขึ้น อยู่ดีกินดี ส่งผลให้ชุมชนเข้มแข็งและพัฒนาตนเองได้

                        4.  เพื่อประเทศชาติ  เพื่อประชากรของประเทศมีการประกอบอาชีพที่ดี  มีรายได้ดี  ทำให้มีรายได้ที่เสียภาษีให้กับรัฐบาลมีรายได้ไปใช้บริหารประเทศต่อไป

                        มนุษย์ไม่สามารถผลิตสิ่งต่างๆมาสนองความต้องการของตนเองได้ทุกอย่างจำต้องมีการแบ่งกันทำและเกิดความชำนาญ จึงทำให้เกิดการแบ่งงานและแบ่งอาชีพต่างๆขึ้น สาเหตุที่ต้องมีการแบ่งอาชีพมีดังนี้

                        1.  ความรู้ความสามารถของแต่ละคนแตกต่างกัน

                        2.  ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และภูมิประเทศที่แตกต่างกัน

                        3.  ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ที่แตกต่างกัน

                        การแบ่งงานและอาชีพให้เกิดประโยชน์ ดังนี้

                        1.  สามารถตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันได้

                        2.  ได้ทำงานที่ตนเองถนัด

                        3.  ทำให้กิดการขยายตัวของธุรกิจในด้านต่างๆ

การประกอบอาชีพของคนไทย:

                        การทำมาหากินของคนไทยสมัยก่อน คือการทำไร่  ทำนา  ทอผ้า  ทำเครื่องจักสานไว้ใช้ที่เหลือก็จะจำหน่ายในชุมชน  คนไทยบางกลุ่มจะเป็นข้าราชการเมื่อบริษัทต่างชาติมาลงทุนในประเทศไทย ทำให้มีการจ้างงาน และมีอาชีพให้คนไทยเลือกทำมากขึ้น

ลักษณะอาชีพของคนไทย:

                        1.  งานเกษตรกรรม เช่น  ปลูกพืช  เลี้ยงสัตว์  การประมง

                        2.  งานอุตสาหกรรม เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับความถนัดด้านช่างสาขาต่างๆ และเครื่องจักรเพื่อผลิตสินค้าและบริการต่างๆ

                        3.  งานธุรกิจ เป็นงานด้านการค้าขาย  การทำบัญชี การจัดการธุรกิจ  การติดต่อสื่อสารเทคโนโลยีสารสนเทศ

                        4.  งานคหกรรม  เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาหาร เย็บปักถักร้อย  ตกแต่งบ้าน

                        5.  งานศิลปกรรม  เป็นงานที่มีความละเอียดอ่อน ความคิดสร้างสรรค์ด้านศิลปกรรมของไทย เช่น งานหัตถกรรม  ประติมากรรม  จิตรกรรม

ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดความสำเร็จในงานอาชีพ:

สาระสำคัญ

                        1.  ความต้องการมุ่งความสำเร็จ (Need for Achivement)  ในการทำงานเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วและมองเห็นโอกาสแห่งความเป็นไปได้  ผู้ประกอบการจะต้องมุ่งมั่นใช้กำลังกาย กำลังความคิด สติปัญญาและความสามารถทั้งหมด  พร้อมทั้งทุ่มเทเวลาให้กับงาน  โดยไม่คำนึงถึงความยากลำบาก 

 เพื่อให้งานบรรลุความสำเร็จที่มุ่งหวังไว้  ผู้ประกอบการจะต้องเรียนรู้ถึงความผิดพลาดที่ผ่านมาเพื่อแก้ไขให้เกิดความสำเร็จ  พอใจ  ภูมิใจที่งานออกมาดี  แต่สิ่งที่สำคัญคือ  จุดมุ่งหมายทางธุรกิจ  มิได้อยู่ที่กำไร  แต่จะต้องทำเพื่อขยายความเจริญเติบโตของกิจการ  กำไรเป็นเครื่องสะท้อนว่าทำได้  และไม่เพียงสนใจต่อการบรรลุเป้าหมายเท่านั้น  แต่จะต้องให้ความสำคัญต่อวิธีการหรือกระบวนที่ทำให้บรรลุเป้าหมายด้วย

                        2.  มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Creativity  Thinking) การจะเป็นผู้สำเร็จในงานอาชีพได้นั้น  จะต้องเป็นผู้ที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ไม่พอใจในการทำสิ่งซ้ำๆเหมือนเดิมตลอดเวลา

  แต่เป็นผู้ที่ชอบนำประสบการณ์ที่ผ่านมาประยุกต์  สร้างสรรค์  หาวิธีใหม่ที่ดีกว่าเดิม  สามารถหาแนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการ  ปรับปรุงกระบวนการดำเนินการอยู่ตลอดเวลา กล้าที่จะผลิตสินค้าที่แตกต่างจากเดิม กล้าใช้วิธีขายที่ไม่เหมือนใคร  กล้าประดิษฐ์  กล้าคิดค้นสิ่งที่แปลกใหม่เข้าสู่ตลาด 

  สามารถคิดค้นประดิษฐ์เครื่องจักรเครื่องมืออุปกรณ์ใหม่ๆ มาใช้ในการผลิต  สามารถนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้  รวมทั้งแสวงหาวัตถุดิบใหม่ๆมาทดแทนของเดิม  รู้จักปรับปรุงกระบวนการดำเนินงาน  นำระบบการจัดการสมัยใหม่ที่มีประสิทธิภาพมาใช้เพื่อลดต้นทุน 
 ความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้  อาจเกิดขึ้นด้วยตัวเอง หรือเอาแนวคิดมาจากนักประดิษฐ์ นักวิจัยหรือผู้เชี่ยวชาญก็ได้

                        3.  รู้จักผูกพันต่อเป้าหมาย (Addicted to Goals) เมื่อตั้งเป้าหมาย  ผู้ประกอบการจะต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย  เป้าหมายทุกเป้าหมายล้วนจะต้องเอาชนะทั้งสิ้น  มีความคิดผูกพันที่จะเอาชนะ  จนสามารถวางแผนกลยุทธ์ไว้ล่วงหน้า  มีการวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรค ขัดขวางในการไปสู่เป้าหมาย  

เตรียมป้องกันที่จะเอาชนะอุปสรรค  ที่คาดว่าจะทำให้เกิดความล้มเหลว  และหาหนทางแก้ไขเมื่อประสบความเหลว  และในขณะเดียวกันการมองโลกในแง่ดีมีความหวัง  มุ่งมั่นต่อไปเป้าหมายของความสำเร็จจะมองเห็นในอนาคต

                        4.  มีความสามารถในการบริหารงานและมีความเป็นผู้นำที่ดี (Management and Leadership Capability)  มีลักษณะการเป็นผู้นำ  รู้จักหลักการบริหารจัดการที่ดี ภาวะการเป็นผู้นำจะแตกต่างไปตามระยะการเจริญเติบโตของธุรกิจ 

 ในระยะเริ่มทำธุรกิจ จะต้องรับบทบาทการเป็นผู้นำจะแตกต่างไปตามระยะการเติบโตของธุรกิจ  ในระยะเริ่มทำธุรกิจ  จะต้องรับบทบาทเป็นผู้นำที่ลงมือทำทุกอย่างด้วยตนเอง  ต้องทำงานหนักเพื่อบรรลุความสำเร็จ  เอาใจใส่ผู้ร่วมงาน  วางแผนทางการทำงาน  ให้คำแนะนำและให้ผู้ร่วมงานรับค่าสิ่งด้วยความเต็มใจในการปฏิบัติงาน  เป็นผู้กำกับดูแลอย่างใกล้ชิดและเป็นกันเองจะทำให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยดี 

 ต่อมาเมื่อกิจการเติบโตขึ้น  การบริหารงานก็จะเปลี่ยนแปลงไป  ลูกน้องก็จะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงและเชื่อมั่นได้มากขึ้น  ไว้ใจได้  สามารถที่จะแบ่งความรับผิดชอบให้ลูกน้องได้มากขึ้น  จนสามารถปล่อยให้ดำเนินการเองได้ 
 ส่วนตนจะได้มีเวลาใช้ความคิดพัฒนาผลิตภัณฑ์    ขยายกิจการหรือลงทุนใหม่  ดำเนินกิจการให้ลักษณะมืออาชีพมากกว่าเป็นธุรกิจเครือญาติ  กล้าลงทุนจ้างผู้บริหารมืออาชีพ  รู้จักปรับเปลี่ยนการบริหาร  เพื่อทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ

                        5.  มีความเชื่อมั่นในตนเอง (Be Self Confident)  ผู้ประกอบการที่จะประสบความสำเร็จมักจะเป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง  มีความเป็นอิสระและรู้จักพึ่งตนเอง  มีความมั่นใจ  มีความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว  มีลักษณะเป็นผู้นำ  มีความเชื่อมั่นที่จะเอาชนะสิ่งแวดล้อมที่น่ากลัว  มีความทะเยอทะยาน  และไม่ประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไปหรือเชื่อมั่นตนเองมากเกินไป

                        6.  มีวิสัยทัศน์กว้างไกล (Visionary)  เป็นผู้ที่สามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างแม่นยำ และรู้จักเตรียมพร้อมรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น

                        7.  มีความรับผิดชอบ (Responsibility)  มีความรับผิดชอบต่องานที่ทำเป็นอย่างดี เป็นผู้นำในการทำสิ่งต่างๆ มักจะมีความริเริ่มแล้วลงมือทำด้วยตนเอง หรือมอบหมายให้ผู้อื่นทำและจะดูแลจนงานสำเร็จตามเป้าหมาย
โดยจะรับผิดชอบผลการตัดสินใจ ไม่ว่าผลจะออกมาดีหรือไม่ มีความเชื่อว่าความสำเร็จเกิดจากความเอาใจใส่  ความพยายาม  ความรับผิดชอบ  มิใช่เกิดจากโชคช่วย

                        8.  มีความกระตือรือร้นและไม่หยุดนิ่ง (Enthusiastic)  มีการทำงานที่เต็มไปด้วยพลัง  มีชีวิตชีวา  มีความกระตือรือร้น  ทำงานทุกอย่างโดยไม่หลีกเลี่ยง  ทำงานหนักมากกว่าคนทั่วไป

                        9.  ใฝ่หาความรู้เพิ่มเติม (Take New Knowledge)  ถึงแม้ว่าจะมีความเชี่ยวชาญในการทำงาน แต่ความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ  ควรที่จะหาความรู้เพิ่มเติม โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับข้อมูลทางการตลาด  เศรษฐศาสตร์  การเมือง  กฏหมายทั้งในและต่างประเทศ 

 ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้  การหาความรู้เพิ่มเติมสามารถหาได้จากการสัมนา  ฝึกอบรม  อ่านหนังสือ  หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

                        10.  กล้าตัดสินใจและมีความมานะพยายาม (Can Make Decision And Be Attempt)  มีความกล้าตัดสินใจมีความหนักแน่นไม่หวั่นไหว  เชื่อมั่นในตนเองกับงานที่ทำ  มีจิตใจของนักสู้ 

 ถึงแม้งานจะหนักก็ทุ่มเทสุดความสามารถ  ไม่กลัวงานหนัก เห็นงานหนักเป็นงานท้าทายในการใช้ความรู้  สติปัญญา และความสามรถในการทำงาน   ความมานะและความพยายามเป้นการทุ่มเทชีวิตจิตใจในการทำงาน แข่งขันกับตนเองและแข่งขันกับเวลา  ขวนขวายหาหนทางแก้ปัญหาและอุปสรรคจนประสบความสำเร็จ

                        11.  สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม (Adaptable)  ต้องรู้จักการปรับตัวตามสภาพแวดล้อม  มากกว่าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรม หรือขึ้นอยู่กับโชคหรือดวง

                        12.  รู้จักประมาณตนเอง (Self Assessment) การรู้จักประมาณตนเองไม่ทำสิ่งเกินตัว ในการทำธุรกิจควรจะเริ่มจากธุรกิจเล็กๆก่อน  และเมื่อกิจการเจริญค่อยเพิ่มทุนและขยายธุรกิจออกไป  จึงจะประสบความสำเร็จ

                        13.  ประหยัด (Safe For Future)  การดำเนินงานในระยะสั้นจะยังไม่ทันเห็นผล ผู้ประกอบการจะต้องรู้จักประหยัดและอดออม  ต้องรู้จักห้ามใจที่จะหาความสุข  ความสบายในช่วงที่ธุรกิจอยู่ในช่วงตั้งตัว  และต้องดำเนินธุรกิจต่อไปในระยะเวลายาวนานจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย

                        14.  มีความซื่อสัตย์ (Loyalty)  ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อลูกค้าและหุ้นส่วน  ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับธนาคารด้วยการเป็นลูกหนี้ที่ดี เป็นนายที่ดีของลูกน้อง และต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและครอบครัว

อาชีพที่มีความมั่นคงในชีวิต:

สาระสำคัญ

                        หากเปรียบเสาเข็มเป็นรากฐานของตึกสูง ความรู้ที่ได้รับจากการศึกษา ก็คือ พื้นฐานที่จะนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ สร้างรายได้และจัดหาปัจจัย 4 อันเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตอยู่อย่างมั่นคง

 ในการเลือกประกอบอาชีพนั้น ควรพิจารณาจากความถนัด ความสนใจ ความก้าวหน้าในอาชีพ เป็นอาชีพที่สุจริตถูกต้องตามกฎหมาย และควรเป็นงานที่ทำแล้วมีความสุข ได้รับค่าตอบแทนที่เพียงพอกับการดำเนินชีวิต และเลี้ยงครอบครัวได้อย่างเพียงพอ หากทุกคนเลือกอาชีพที่มความมั่นคงต่อชีวิต สังคมก็จะมีความเป็นอยู่ที่ดี เศรษฐกิจก็จะเจริญก้าวหน้าตามไปด้วย

อาชีพที่มีส่วนร่วม และพัฒนาประเทศ:

สาระสำคัญ

                         อาชีพ หมายถึง การทำมาหากิน ทำธุรกิจ  ตามความชอบหรือความถนัด  ได้ค่าตอบแทนเป็นค่าจ้าง หรือ เงินเดือน ประชาชนในประเทศที่สามารถมีอาชีพเป็นหลักถือได้ว่าเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นถึงความเจริญก้าวหน้าและพัฒนาประเทศได้

                         อาชีพที่มีส่วนร่วมพัฒนาประเทศ สามารถแบ่งออกเป็น 8 ประเภท  คือ

                         1.  อาชีพเกษตรกรรม (Agriculture) เป็นอาชีพหลักของคนไทยมาเป็นเวลาช้านาน ได้แก่ การทำสวน การทำนา ทำไร่ การประมง การเลี้ยงสัตว์ และการป่าไม้

                         2.  อาชีพเหมืองแร่ (Mineral) เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจกรรม การขุดเจาะนำเอาทรัพยากรธรรมชาติต่างๆมาใช้ เช่น ถ่านหิน  ดีบุก  น้ำมัน และปูนซีเมนต์ ฯลฯ

                         3.  อาชีพอุตสาหกรรม (Manufacturing) เป็นการดำเนินกิจกรรมทางด้านการผลิตและบริการทั่วๆไปทั้งอุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดใหญ่ แบ่งได้ดังนี้

                                3.1  อุตสาหกรรมในครัวเรือน หรือ อุตสาหกรรมขนาดย่อม  เป็นการดำเนินกิจกรรมที่ใช้แรงงานสมาชิกในครอบครัว วัสดุที่ใช้ผลิตหาได้ในท้องถิ่น ผลิตัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่น

                         4.  อาชีพก่อสร้าง (Construction) เป็นการดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับการสร้างอาคาร ที่อยู่อาศัย ถนน สะพาน เขื่อน ฯลฯ

                         5.  อาชีพการพาณิชย์ (Commercial) เป็นการดำเนินกิจกรรมเกี่ยวช้องกับการตลาด การจำหน่ายสินค้าปลีก และสินค้าส่ง

                         6.  อาชีพการเงิน (Financial) การดำเนินกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ธุรกิจต่างๆคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ให้ความช่วยเหลือและการลงทุน  ได้แก่ ธนาคารต่างๆ

                         7.  อาชีพบริการ (Services) เป็นการดำเนินกิจกรรมที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ในการอำนวยความสะดวกสบาย เป็นการขนส่ง  การสื่อสาร  การโรงแรม  การท่องเที่ยว  โรงพยาบาล  โรงภาพยนต์  ภัตตาคาร  ร้านอาหาร  สถานบันเทิงต่างๆ ฯลฯ

                         8.  อาชีพอื่นๆ เป็นอาชีพที่นอกเหนือจากอาชีพดังกล่าวข้างต้น  ได้แก่ อาชีพอิสระต่างๆ เช่น แพทย์ ครู  เภสัช  วิศวกร  สถาปนิก  จิตรกร  ประติมากร  เป็นต้น

อาชีพธุรกิจที่มีประโยชน์ต่อประชาชน  สังคม และประเทศชาติ:

สาระสำคัญ

                         อาชีพธุรกิจที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน  สังคม  และประเทศชาติ  ทำให้เกิดกระบวนการผลิตสินค้าการบริการเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ความต้องการเกิดขึ้นต่อๆไป  โดยไม่สิ้นสุดทำให้เกิดการผลิตสินค้าเพื่อสนองความต้องการจึงเกิดการกระจายสินค้าไปสู่ผู้บริโภค

 เรียกว่าระบบคนกลาง  ระบบคนกลางได้แก่  พ่อค้าส่ง  พ่อค้าปลีก  ตัวแทนจำหน่าย  นายหน้า  เมื่อมีสินค้าเกี่ยวข้องจึงต้องมีระบบขนส่งและเกิดการจ้างงาน  ช่วยให้ประชาชนมีงานทำ  มีมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้น  สร้างรายได้ให้กับรัฐ  โดยประชาชนช่วยกันเสียภาษีเพื่อพัฒนาประเทศ

                         การที่ประชาชนมีอาชีพ และผลิตสินค้าที่มีคุณภาพจำนวนมากจึงต้องมีเครื่องมือที่ทันสมัยสามารถส่งไปจำหน่ายต่างประเทศได้ ช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น

อุตสาหกรรมการผลิตแม่พิมพ์:

สาระสำคัญ

                         เทคโนโลยีการผลิตและการพัฒนาด้านบุคลากรของอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆของประเทศไทย นับว่าอุตสาหกรรมแม่พิมพ์เป็นอุตสาหกรรมแม่พิมพ์เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ทั้งการผลิต ผลิตภัณฑ์โลหะ ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยางและอื่นๆ ซึ่งแม่พิมพ์ที่นำมาใช้ในการจึงมีหลายประเภท เช่น แม่พิมพ์โลหะ แม่พิมพ์พลาสติก แม่พิมพ์ยาง แม่พิมพ์แก้ว และอื่นๆ

 แต่ที่นิยมใช้กันมาก คือ แม่พิมพ์โลหะ และแม่พิมพ์พลาสติก โดยนำไปใช้เกือบทุกอุตสาหกรรม เพราะแม่พิมพ์เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการผลิตที่มีรูปร่างเหมือนๆกัน ครั้งละจำนวนมากๆ ส่งผลให้สินค้ามีคุณภาพและมาตรฐานเดียวกัน ทำให้ไทยมีโรงงานที่ทำแม่พิมพ์ทั้งหมด 2,000 โรงงาน 
โดยผลิตแม่พิมพ์โลหะและพลาสติก ถึงร้อยละ 90 และอีก้อยละ 10 ผลิตแม่พิมพ์แก้ว ยาง และเซรามิก โดย 1,500 โรงงาน เป็นโรงงานที่ผลิตแม่พิมพ์ใช้เอง และอีก 500 โรงงาน รับจ้างผลิตแม่พิมพ์ แต่มีโรงงานเพียง 3 % ที่สามารถผลิตแม่พิมพ์ที่ได้คุณภาพ และมีประสิทธิภาพ ความเที่ยงตรงสูง
 แสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมแม่พิมพ์ในประเทศไทย ยังไม่สามารถผลิตงานที่มีคุณภาพ และความถูกต้องแม่นยำสูงได้

                         จากสถิติมูลค่าการนำเข้าและส่งออกแม่พิมพ์ (ระหว่างปี พ.ศ. 2542 - 2547) พบว่าประเทศไทยขาดดุลการค้าในอุตสาหกรรมแม่พิมพ์มาโดยตลอด โดยในปี ปี 2544 มีการขาดดุลการค้ามากกว่า 20,000 ล้านบาท และมูลค่าการนำเข้าแม่พิมพ์ของไทยมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ยกเว้น ปี 2545 ซึ่งมีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 7.69 เมื่อเทียบกับปี 2544 ส่วนมูลค่าการนำเข้าในปี 2547 คาดว่ามีแนวโน้มการนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยในช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน มีอัตราการขยายตัวของการนำเข้าเพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันในปี 2546 ถึงร้อยละ 33.57

 เหตุที่ประเทศไทยมีมูลค่าการนำเข้าแม่พิมพ์มาก เนื่องจากโรงงานที่เป็นกิจการร่วมทุนกับต่างประเทศ และกลุ่มตลาดส่วนใหญ่เป็นต่างประเทศ ให้มีการนำเข้าแม่พิมพ์ที่มีคุณภาพและความเที่ยงตรงสูง จากต่างประเทศเข้ามาใช้ในการผลิตสินค้าเป็นจำนวนมาก โดยนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้

                         ส่วนการส่งออกแม่พิมพ์ของไทยนั้น เป็นกลุ่มผู้ผลิตที่มีกิจการร่วมลงทุนกับต่างประเทศ และได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนจาก BOI (สำนักคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) โดยผลิตแม่พิมพ์ที่มีความเที่ยงตรงสูง และส่งออกไปบริษัทแม่

 ส่วนโรงงานขนาดกลางที่ผลิตแม่พิมพ์ที่มีคุณภาพก็ส่งออกโดยผ่านตัวแทนจำหน่าย มูลค่าการส่งออกตั้งแต่ปี 2542 – 2547 มีมูลค่าการส่งออกไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ยกเว้นปี 2546 ส่วนในปี 2547 คาดว่าแนวโน้มการส่งออกแม่พิมพ์ของไทยจะมีมูลค่าสูงขึ้น โดยส่วนใหญ่ส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น มาเลเซียและฮ่องกง

ที่มา: http://sueheera.weebly.com

ตัวอย่างอาชีพ




   อาชีพ หมายถึง การทำกิจกรรม การทำงาน การประกอบการที่ไม่เป็นโทษแก่สังคมและมีรายได้ตอบแทน โดยอาศัยแรงงาน ความรู้ ทักษะ อุปกรณ์ เครื่องมือ วิธีการ แตกต่างกันไป

 กลุ่มอาชีพตามลักษณะการประกอบอาชีพมี 2 ลักษณะ คือ อาชีพอิสระ และอาชีพรับจ้าง

อาชีพอิสระ หมายถึง อาชีพทุกประเภทที่ผู้ประกอบการดำเนินการด้วยตนเอง แต่เพียงผู้เดียวหรือเป็นกลุ่ม อาชีพอิสระเป็นอาชีพที่ไม่ต้องใช้คนจำนวนมาก แต่หากมีความจำเป็นอาจมีการจ้างคนอื่นมาช่วยงานได้ 
เจ้าของกิจการเป็นผู้ลงทุน และจำหน่ายเอง คิดและตัดสินใจด้วยตนเองทุกเรื่อง ซึ่งช่วยให้การพัฒนางานอาชีพ เป็นไปอย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์

อาชีพรับจ้าง หมายถึง อาชีพที่มีผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการ โดยตัวเองเป็นผู้รับจ้าง ทำงานให้ และได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าจ้าง หรือเงินเดือน

ตัวอย่างอาชีพ

นักบริหารโรงแรม/รีสอร์ท:




คุณสมบัติของนักบริหารโรงแรม/รีสอร์ท

1.       การกำหนดเป้าหมายและแผนงานที่ชัดเจน สมมุติว่าคุณเป็นผู้บริหารระดับสูง ในฐานะที่คุณเป็นหัวหน้า คุณจำเป็นจะต้องมีเป้าหมายและแนวทางในการทำงานที่ชัดเจนเพื่อให้ผู้ตามรู้ว่าจะเดินไปยังจุดไหนและไปทางไหน ถ้าเป้าหมายของคุณยังไม่ชัดเจน ยังคลุมเครืออยู่ล่ะก็ ต่างคนต่างก็ทำงานเพื่อไล่ตามเป้าหมายต่างกัน เมื่อทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันแล้วจะทำให้งานก้าวไปข้างหน้าได้

2.       โครงสร้างองค์กรที่มีประสิทธิภาพ แต่ละองค์กรก็ต้องการโครงสร้างองค์กรที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการดำเนินงานเฉพาะ ซึ่งถ้าคุณสามารถออกแบบผังองค์กรให้สอดคล้องความเป็นมืออาชีพ(Professional)เป็นปัจจัยหลักในความสำเร็จของทุกธุรกิจ

ในธุรกิจโรงแรมซึ่งเป็นธุรกิจบริการนั้นยิ่งต้องการความเป็นมืออาชีพมากเป็นพิเศษ ทุกขั้นตอนการดำเนินงานต้องมีคนมาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยเสมอ ซึ่งคนก็ร้อยพ่อพันแม่ จะให้ทุกคนทำงานดีมีคุณภาพเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย 
ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างความเป็นมืออาชีพให้กับโรงแรมของคุณคือ การสร้างระบบเพื่อควบคุมคนเหล่านั้นให้ทำงานแบบมืออาชีพ ซึ่งการทำสิ่งนี้ก็ต้องการความริเริ่มจากผู้ที่มีอำนาจสูงในองค์กรผู้ซึ่งจะต้องเป็นคนวางรากฐานของระบบการบริหารโรงแรมให้มีประสิทธิภาพ ให้เป็นมืออาชีพ

 และสิ่งหลักๆที่คุณต้องมี ต้องทำ หรือต้องสร้าง เพื่อการบริหารโรงแรมแบบมืออาชีพก็คือ…อิงกับการทำงานจริงได้

3.       เครื่องมือที่พร้อม เครื่องมือในที่นี้รวมถึงระบบ IT ต่างๆที่ช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น ประหยัดเวลามากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 ซึ่งข้อดีของการนำเครื่องมือเข้ามาช่วยจะทำให้โรงแรมของคุณสามารถลดต้นทุนและประหยัดแรงคนได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น แทนที่จะบันทึกรายชื่อแขกที่จองมาจากที่ต่างๆด้วยมือโดยการจดใส่สมุดบันทึกหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็ใช้โปรแกรมบริหารโรงแรมช่วยในการจัดเก็บข้อมูลแทน ทำให้โรงแรมสามารถบริหารการจองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ตกหล่น ไม่ผิดพลาด

4.       ขั้นตอนการดำเนินงานที่มีมาตรฐาน(SOPs) มาตรฐานการทำงาน(Standard Operating Procedures) เป็นสิ่งที่โรงแรมควรจะบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อการปฏิบัติงานอย่างมีคุณภาพและไม่มั่ว ทุกคนรู้ว่าต้องทำอะไร อย่างไร ถ้าเจอปัญหาแบบนี้ต้องหาทางออกอย่างไร

 ง่ายๆคือเหมือนเราโปรแกรมคนให้ทำตามขั้นตอนที่เราคิดเอาไว้นั่นแหละ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าทำตามขั้นตอนมากเกินไปจนเป็นหุ่นยนต์โดยไม่มีความยืดหยุ่น นั่นก็อาจย้อนกลับมาทำร้ายโรงแรมคุณได้เพราะคำว่าการบริการมันไม่มีกฏตายตัว แขกจะชอบหรือไม่ชอบ จะพอใจหรือไม่ต่างหากที่สำคัญ ก็ต้องชั่งน้ำหนักกันดูล่ะว่าจะทำตามกฏหรือจะทำตามใจแขก

5.       โปรแกรมสร้าง พัฒนา และรักษาพนักงานทรัพยากรบุคคล(Human Resource)เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการทำธุรกิจโรงแรมเลยก็ว่าได้ ลองดูว่าทำไมโรงแรมดังๆถึงต้องจ้างคนราคาแพงๆ นั่นก็เพราะคุณภาพของคนที่จะสะท้อนไปยังแขกด้วยการบริการที่มีคุณภาพ สมกับราคาที่จ่าย

       สิ่งที่แขกพิจารณาว่าโรงแรมใดมีบริการดีหรือไม่ดี การบริการโดยพนักงานเป็นสิ่งแรกๆที่แขกจะมอง ฉนั้นการสร้างคนที่มีคุณภาพจึงเป็นเรื่องจำเป็นในการรักษามาตรฐานของโรงแรมคุณ เพราะคุณภาพของคนมีผลโดยตรงกับการบริการ

6.       โปรแกรมควบคุมคุณภาพ ทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งดีๆที่คุณทำมาจะไร้ความหมายไปเลยถ้าคุณรักษาคุณภาพเอาไว้ไม่ได้ โรงแรมที่เป็นมืออาชีพจึงให้ความสำคัญกับการตรวจเช็คคุณภาพเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงแรมที่ขายแบรนด์ โรงแรมที่เป็นเชน
เพราะถ้าคนที่เอาแบรนด์เขาไปใช้แล้วดันทำคุณภาพไม่ดี บริการแย่ แบรนด์ของเขาก็เสียหาย ทำให้ต้องมีการส่งแขกสายลับเข้ามาใช้บริการเพื่อตรวจสอบคุณภาพ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่โรงแรมที่เป็นมืออาชีพใช้ในการตรวจสอบคุณภาพ

การแบ่งสายงานในโรงแรม/รีสอร์ท

         โดยทั่วไปแล้วโรงแรมต่างๆ จะแบ่งองค์กรออกเป็นสายงานต่างๆ ตามลักษณะของงาน (Job Functions) แต่ละด้าน เพื่อความสะดวกในการบริหาร โดยแบ่งออกเป็นสายงานหลักๆ ได้ดังนี้

          ฝ่ายบริการห้องพัก (Rooms/Resident)  ดูแลหน่วยธุรกิจด้านให้บริการห้องพัก  แบ่งเป็น 2 ส่วนหลักคือ

- แผนกบริการส่วนหน้า (Front Office) ดูแลการต้อนรับและการให้บริการต่างๆ แก่แขกที่เข้าพัก
- แผนกแม่บ้าน (Housekeeping) ดูแลด้านการจัดเตรียมห้องพัก ทำความสะอาดห้องพักแขก
ฝ่ายบริการอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) ดูแลหน่วยธุรกิจด้านให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม แบ่งเป็น 3 ส่วนหลักคือ

- แผนกครัว (Kitchen) บริการด้านการจัดเตรียม ประกอบอาหารเพื่อบริการลูกค้าที่มาใช้บริการ
- แผนกบริการอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage Services) ดูแลในด้านการให้บริการอาหารและเครื่องดื่มแก่ลูกค้าตามจุดต่างๆ ที่มีการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม
- แผนกจัดเลี้ยง (Banquet& Outside Catering) ดูแลในด้านงานจัดเลี้ยง และกิจกรรมพิเศษต่างๆ ที่จัดขึ้นภายในและภายนอกโรงแรม 

ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources) ดูแลด้านทรัพยากรบุคคลขององค์กร แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักคือ

- แผนกฝึกอบรม (Training) ดูแลเรื่องของการฝึกอบรม พัฒนาทักษะบุคลากร
- แผนกบุคคล (Personnel) ดูแลเรื่องบุคลากรในองค์กร เงินเดือน ค่าจ้าง และสวัสดิการต่างๆ

ฝ่ายควบคุม (Controller) ดูแลด้าน การเงิน การบัญชีขององค์กร แบ่งเป็น 4 ส่วนหลักดังนี้

- แผนกการเงิน (Financial) ดูแลด้านการเงินของโรงแรม ควบคุมการรับ-จ่ายเงิน ของโรงแรม
- แผนกบัญชี (Accounting) ดูแลเรื่องบัญชีต่างๆ ภายในโรงแรม และจัดทำรายงานให้แก่ผู้บริหารและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ
- แผนกจัดหา/จัดซื้อจัดจ้าง (Procurement) ดูแลเรื่องการจัดหา วัตถุดิบหรือปัจจัยการผลิตและการให้บริการต่างๆ ให้แก่โรงแรม
- แผนกคลัง (Inventory) ดูแลเรื่องคลังสินค้าวัตถุดิบที่เป็นปัจจัยในการผลิต การให้บริการลูกค้า และการดำเนินงานของโรงแรมที่เป็นส่วนกลาง

ฝ่ายการตลาดและการขาย (Sales & Marketing) ดูแลด้านการตลาดและการขายเพื่อหารายได้ให้แก่โรงแรม แบ่งเป็น 2 ส่วนหลักคือ

- แผนกการตลาด (Marketing) ดูแลเรื่องการขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาดในด้านต่างๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายต่างๆ ที่กำหนดไว้ในแผนการตลาดของโรงแรม
- แผนกขาย (Sales) ดูแลเรื่องการขายหารายได้ให้แก่โรงแรมตามเป้าหมายที่กำหนด ดูแลและรักษาลูกค้าของโรงแรม

ฝ่ายวิศวกรรมและบำรุงรักษา (Engineer & Maintenance) ดูแลงานด้านวิศวกรรม บำรุงรักษาอาคารและสถานที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักคือ

- แผนกวิศวกรรม (Engineer) ดูแลงานด้านวิศวกรรมของระบบต่างๆ ที่ใช้งานอยู่ภายในโรงแรม
- แผนกซ่อมบำรุง (Maintenance) ดูแลงานซ่อมบำรุงวัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ภายในโรงแรม ให้อยู่ในสภาพดีที่พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา
ที่มา:https://smartfinder.asia , www.doctorhotelthailand.com

สถาปนิก:




สถาปนิก คือบุคคลผู้เกี่ยวข้องในการออกแบบ และ วางแผน ในการก่อสร้าง หรือที่เรียกว่างานสถาปัตยกรรม โดยสถาปนิก จะเป็นผู้ที่เข้าใจในมาตรฐานการก่อสร้างของอาคาร เข้าใจถึงหน้าที่ใช้สอยของอาคารนั้น รวมถึงวัสดุที่จะนำมาเป็นส่วนประกอบของสิ่งก่อสร้างนั้น
สถาปนิกจำเป็นต้องได้รับการศึกษาทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ และได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรม ถึงจะสามารถทำงานในวิชาชีพสถาปนิกได้ ซึ่งคล้ายกับการทำงานในสาขาวิชาชีพอื่น

คุณลักษณะของผู้ประกอบอาชีพ

1. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่ดี
2. มีการทำงานที่มีระบบ                          
3. ละเอียดรอบคอบต่องานที่ทำ เพราะเป็นงานที่ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อยู่อาศัย
4. ใจกว้างยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นและมีมนุษยสัมพันธ์
5. คำนึงถึงงานสร้างสรรค์ที่มีคุณภาพมากกว่าค่าตอบแทน
6. เข้าใจในระบบเศรษฐกิจและการตลาด เพื่อวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการ
7. รักและเสียสละ เพื่อพัฒนาท้องที่ในต่างจังหวัด
8. ต้องมีรสนิยมทางศิลปะที่ดี และรู้จักพัฒนารสนิยมให้เป็นที่ยอมรับของสังคม
9. คำนึงถึงผลกระทบที่มีแต่เมือง และสภาพแวดล้อม รวมถึงสภาพสังคม วัฒนธรรมของท้องถิ่น

      ขอบเขตงานของสถาปนิก ได้แก่

 1. งานด้านออกแบบ (Design)
2. งานด้านการบริหารโครงการ (Construction Management)
3. งานด้านการบริหารการใช้พลังงานในอาคาร (Building Energy Management)
4. งานด้านการออกแบบการให้แสง (Lighting Design)
5. งานด้านบริหารจัดการอาคาร (Facility Management)
6. งานด้านอนุรักษ์ (Preservation)
7. งานตรวจสอบมาตรฐานและความปลอดภัยของอาคาร (Building Inspection)

เครื่องมือที่ใช้ในอาชีพ

     ถ้าเป็นยุคสมัยนี้เครื่องมือที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ คอมพิวเตอร์ เราจะใช้โปรแกรมต่างๆเป็นเครื่องทุ่นแรงในการออกแบบ ทั้ง SketchUp Photoshop  Autocad หรือ archicad และงานเอกสารทั่วไป
 เพราะ จะมีความแม่นยำ สวยงาม และรวดเร็ว ต่างจากเมื่อก่อนที่จะเป็นงาน Munual งานวาดมือทั้งหมด ซึ่งจะต้องมีโต๊ะ ดราฟ หรือ โต๊ะเขียนแบบเป็นโต๊ะประจำตัว แต่ถ้าเรามีเวลาจริงๆ ก็อยากทำงานเป็นงานมือเพราะเป็นงานละเอียดและมีคุณค่ากว่า

ที่มา: https://nookky.wordpress.com

ทหาร:




   อาชีพทหาร คือ อาชีพรั้วของชาติ มีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติให้คงอยู่ ค่อยตรวจสอบความสงบเรียบร้อยตามบริเวณชายแดน และป้องปราบชาติอื่น ๆ ไม่ให้รุกราน

    โดยเป็นอาชีพที่เสียสละเพื่อบ้านเมืองให้เกิดความสงบเรียบร้อย ไม่ให้ศัตรูได้มารุกรานชาติบ้านเมือง

คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ

1. มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์
2. มีความอดทน
3. มีทักษะทางด้านกีฬา เช่น ว่ายน้ำ วิ่ง
4. มีความซื่อสัตย์สุจริต
5. รักความยุติธรรม
6. มีความเสียสละทั้งแรงกายแรงใจ
7. มีความกล้าหาญ
8. มีระเอียดความรอบคอบ
9. มีระเบียบวินัย
10. มีบุคลิกภาพและมีความสูงตามที่กำหนดไว้
11. รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
12. อื่น ๆ

แนวทางพัฒนาอาชีพ

1. ทหารบก
2. ทหารอากาศ
3. ทหารเรือ
4. ทหารรักษาพระองค์
5. อื่น ๆ

ที่มา: http://naenaew.blogspot.com
นักบิน:



   ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ได้แก่ผู้ขับเครื่องบิน ผู้ควบคุมการบิน ในระหว่างทำการบินรวมถึงการขับเครื่องบินที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร ไปรษณีย์ภัณฑ์หรือสินค้า การขับเครื่องบินเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ
 เช่น ทดสอบ ส่งมอบ ฉีดยาฆ่าแมลงหรือยาป้องกันแมลง สำรวจทางอากาศ ถ่ายภาพทางอากาศ และสอนนักบินฝึกหัดการควบคุมเส้นทางบินของการบิน การดูแลเครื่องบินระหว่างทำการบิน และให้คำแนะนำ นักบินอื่นๆ เกี่ยวกับการบินและเส้นทางการบิน

 คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ

    เนื่องจากนักบินเป็นผู้ขับเครื่องบินให้ไปสู่จุดหมายปลายทางของผู้โดยสารหรือสินค้าที่อยู่ในเครื่องบินซึ่งจะไปถึงที่หมายปลายทางได้หรือไม่นั้น นักบินจะต้องเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ฉะนั้น ผู้ประกอบอาชีพด้านนี้ จึงควรมีคุณสมบัติ ดังนี้

1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
2. ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้ดี ควรมีความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ดีพอสมควร เพื่อใช้ในการศึกษา และใช้ในการปฏิบัติงาน
3. รูปร่าง บุคลิกดี มีความสูงไม่น้อยกว่า 165 ซ.ม. มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีปฏิภาณไหวพริบดี มีสำนึกในความปลอดภัย และมีความสามารถเป็นทั้งผู้นำและผู้ตาม
4. มีความรับผิดชอบต่อตนเอง และผู้อื่นสูง มีความกล้าหาญ และมีความสามารถในการตัดสินใจและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็ว
5. มีความมั่นใจในตนเอง ละเอียดรอบคอบ มีความจำดี ช่างสังเกต
6. สายตาสั้นไม่เกินมาตรฐานที่กำหนด และต้องไม่ตาบอดสี
7. ในการสอบสัมภาษณ์มีทั้งการสอบภาษาไทย และสอบเชาว์ปัญญา ( Aptitude Test) และอาจมีการสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษโดยผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ผู้สมัครควรมีความรู้ภาษาอังกฤษดี และมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ด้วย
8. ในการขับเครื่องบิน ต้องได้รับใบอนุญาตการบิน ( Pilot License) รวมทั้งต้องผ่านการตรวจ ร่างกาย และทดสอบทางจิตเวชจากสถาบันเวชศาสตร์การบิน

โอกาสในการทำงาน

    อาชีพนักบินสามารถรับราชการเป็นนักบินของหน่วยราชการต่างๆ เช่น กองบินสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ สำนักฝนหลวง และการบินเกษตร หรือสายการบินเอกชนต่างๆ เช่น บริษัทการบินไทย บริษัทบางกอกแอร์เวย์ 

ซึ่งยังมีความต้องการพนักงานในตำแหน่งนี้ยังมีมากแต่การคัดเลือกบุคลากรที่เหมาะสม รวมทั้งการสอน และอบรมในการบินสามารถรับได้ครั้งไม่มากจึงจัดว่าเป็นอาชีพที่ขาดแคลน

     สถาบันที่จะฝึกนักบินในประเทศไทยนั้นมีจำนวนน้อยมาก และส่วนใหญ่จะฝึกให้หน่วยงานราชการ เพื่อใช้ในหน่วยงานของตนเอง แต่ถ้าหน่วยงานใดองค์การใดที่ต้องการนักบิน และไม่สามารถที่จะฝึกอบรมด้วยตนเองได้ก็จะส่งบุคคลในหน่วยงานของตนนั้นมาทำการฝึกอบรมการบินที่โรงเรียนการบินต่างๆในประเทศไทย 

ฉะนั้น ผู้ที่จบการศึกษาแล้ว ส่วนใหญ่จึงกลับเข้าทำงานในหน่วยงานเดิมของตนที่ส่งมาฝึกอบรม แต่ถ้าเป็นศิษย์การบินที่เรียนโดยทุนส่วนตัว เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วก็จะทำงานเป็นนักบินในบริษัทสายการบินต่างๆ ซึ่งจะได้รับเงินเดือนสูงมากผู้ที่ประกอบอาชีพนักบินมักจะเป็นชาย 

ในปัจจุบันประเทศไทยมีนักบินอาชีพที่เป็น ผู้หญิงทำงานในบริษัท บางกอกแอร์เวย์ แอร์เอเชียและบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย แต่สำหรับบริษัทการบินไทย ยังไม่มีนักบินอาชีพที่เป็นผู้หญิง

     ผู้ที่ประกอบอาชีพนักบินสามารถเข้าสมัครงานในภาคราชการหรือภาคเอกชนที่ประกาศรับสมัครโดยต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ และเมื่อผ่านการคัดเลือกแล้วจะต้องเข้ารับการอบรมการบินตามโรงเรียนการบินในประเทศไทย ตามที่หน่วยงานของตนจะกำหนด โดยเมื่อจบการอบรมก็จะได้รับบรรจุเข้าเป็นนักบินประจำหน่วยงานนั้น

    ยกเว้นนักบินของกองทัพอากาศ ซึ่งจะต้องเรียนโรงเรียนนายเรืออากาศและสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนการบินของกองทัพอากาศซึ่งจะมีหลักสูตรการบินที่เกี่ยวกับการทหารไม่ใช่การบินเชิงพาณิชย์สำหรับนักบินทั่วไป

 เมื่อจบหลักสูตรจึงจะได้บรรจุเป็นทหารสัญญาบัตรเหล่านักบิน และได้รับการบรรจุเข้าประจำฝูงบินต่างๆ หรือบรรจุเข้ารับราชการตามกรมกองต่างๆ
ที่มา: http://iac.npu.ac.th
ข้าราชการ:

 งานราชการ คือ งานของแผ่นดิน ข้าราชการจึงต้องสำเหนียกตระหนักอยู่ตลอด เวลาถึงฐานะและหน้าที่ของ ตน
ราชการ : เป็นงานของแผ่นดิน
ข้าราชการ : เป็นผู้ปฏิบัติบริหารงานของแผ่นดิน ดังนัยพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่า

"งานของแผ่นดินนั้นเป็นงานส่วนรวม มีผลเกี่ยวเนื่องถึงความเจริญขึ้น หรือเสื่อมลงของบ้านเมือง และทุกข์สุขของประชาชนทุกคน ข้าราชการผู้ปฏิบัติบริหารงานของแผ่นดิน จึงต้องสำนึกตระหนักในความรับผิดชอบที่มีอยู่"

"ข้าราชการผู้ปฏิบัติบริหารงานของแผ่นดิน จะต้องมุ่งปฏิบัติภาระทั้งปวง ด้วยความอุตสาหะเพ่งพินิจ ใช้ความรู้ ความคิด ความเฉลียวฉลาด และความรู้ผิดชอบชั่วดี"

"ข้าราชการผู้ปฏิบัติบริหารงานของแผ่นดินจะต้องตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ"





 
ที่มา: http://sorbdee.net/